Head Top
เงินบาทฟื้นตัวอย่างจำกัด รอผลประชุมเฟด
Ads test

เงินบาทฟื้นตัวอย่างจำกัด รอผลประชุมเฟด

ค่าเงินบาท

ค่าเงินบาทฟื้นตัวอย่างจำกัด รอผลการประชุมเฟด

เงินบาทเปิดตลาดอ่อนค่าที่ระดับ 32.60/61 บาท/ดอลลาร์ จากแรงซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ขณะตลาดรอผลประชุมเฟดและถ้อยแถลงของพาวเวลล์ ด้านเศรษฐกิจในประเทศยังได้แรงหนุนจากการส่งออกเดือน พ.ค.สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ยังขาดดุลรวม 5 เดือนแรก ขณะที่ยูโรและเยนยังอ่อนค่าเช่นกันตามแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจในภูมิภาค

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (18/6) ที่ระดับ 32.60/61 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (17/6) ที่ระดับ 32.54/56 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

โดยดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักในฐานะสกุลเงินปลอดภัย เนื่องจากตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับสงครามระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน ทั้งสองประเทศยังคงโจมตีกันด้วยขีปาวุธโดยไม่มีท่าทีว่าจะลดความรุนแรงลง แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้เรียกร้องให้อิหร่านยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขก็ตาม

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหัฐเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกร่วงลง 0.9% ในเดือนพฤษภาคม เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งลดลงกว่าระดับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงเพียง 0.6% หลังจากลลง 0.1% ในเดือนเมษายน โดยคาดว่ามีสาเหตุมาจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งนี้ ค่าเงินบาทฟื้นตัวขึ้นมา ไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 17-18 มิ.ย.นี้ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด หลังเสร็จสิ้นการประชุม และรายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dtot Plot) ของเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดต่อไป

โดยล่าสุด FewWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่รดับ 4.25-4.50% ในการประชุมครั้งนี้ และคาดว่าเร็วสุดที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% จะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย.นี้

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือน พ.ค.ปี 2565 ซึ่งมูลค่าการส่งออกรายเดือนอยู่ที่ระดับ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) การส่งออกไทยมีมูลค่ารวม 138,202 ล้นดอลลาร์ ขยายตัวถึง 14.9% ซึ่งทำให้มั่นใจว่าการส่งออกปีนี้จะไม่ติดลบอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ และยังมองว่ามีโอกาสจะเติบโตได้ในระดับ 2 หลัก

โดยกระทรวงพาณิชย์เชื่อว่า ภาคการส่งออกจะยังเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ส่วนการนำเข้าในเดือน พ.ค. 68 มีมูลค่า 29,928 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 18% ส่งผลให้ 5 เดือนแรก การนำเข้ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 139,325 ล้านดอลลาร์ สำหรับเดือน พ.ค. ไทยเกินดุลการค้า 1,116 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อรวม 5 เดือนแรก ไทยขาดดุลการค้า 1,123 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม รมว.พาณิชย์ยังกล่าวว่า

ขณะที่ประเทศไทยได้เริ่มเจรจาภาษีกับสหรัฐแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากยังอยู่ในกระบวนการ โดยเชื่อว่าสุดท้ายแล้วผลเจรจาจะออกมาในทิศทางที่ดี ทำให้การส่งออกไม่ประสบปัญหา และเศรษฐกิจไทยไม่แย่อย่างที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวกรอบระหว่าง 32.54-32.63 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 32.60/62 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (18/6) ที่ระดับ 1.1497/99 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (17/6) ที่ระดับ 1.1555/57 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยค่าเงินยูโรยังทรงตัวอยู่บริเวณ 1.1500 เพื่อรอติดตามผลการประชุมของเฟดในคืนนี้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินยูโรยังคงได้รับแรงหนุนอย่างต่อเนื่องหลังจากนางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปได้ให้ความเห็นไว้ในช่วงที่ผ่านมาว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว และสถานะของธนาคารกลางในขณะนี้อยู่ในระดับที่ดี แม้ว่าในช่วงนี้สถานการณ์สงครามระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลจะจำกัดแรงหนุนค่าเงินยูโรก็ตาม ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวกรอบระหว่าง 1.1488-1.1523 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลดที่ระดับ 1.1505/06 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (18/6) ที่ระดับ 145.22/23 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (10/6) ที่ระดับ 144.81/83 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยล่าสุดกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานเบื้องต้นในวันนี้ (18/6) ว่า ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 6.376 แสนล้านเยน (4/4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือน พ.ค. เนื่องจากการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ไปยังสหรัฐร่วงลงอย่างหนัก

โดยคาดว่าเป็นผลกระทบมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรับขึ้นภาษีศุลกากร ซึ่งนับเป็นการขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็เดือนที่สองของญี่ปุ่น เนื่องจากยอดส่งออกโดยรวมปรับตัวลง 1.7% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 8.13 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยถูกกดดันจากการส่งออกไปยังสหรัฐ ร่วงลง 11.1% ขณะที่ยอดนำเข้าโดยรวมลดลง 7.7% แตะที่ระดับ 8.77 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่สอง

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ ญี่ปุ่นเกินดุลการค้ากับสหรัฐ มูลค่า 4.517 แสนล้านเยน ลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง สู่ระดับ 1.51 ล้านล้านเยน ขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐลดลง 13.5% แตะระดับ 1.06 ล้านล้านเยน ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 144.82-145.34 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ 144.93/95 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ (18/6), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือน พ.ค. ของสหรัฐ (18/6), สต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ของสหรัฐ (18/6), ผลการประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยของเฟด (19/6), ผลการประชุนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) (19/6), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มิ.ย. จาก Gfk ของอังกฤษ (20/6), ดัชนียอดขายปลีกเดือน พ.ค. ของอังกฤษ (20/6), ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน พ.ค.ของญี่ปุ่น (20/6), ดัชนีการผลิตเดือน มิ.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย (20/6)

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -7.7/-7.5 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -3.9/-3.0 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ

แหล่งที่มา : เงินบาทฟื้นตัวอย่างจำกัด รอผลประชุมเฟด



squareADS
squareADS
ข่าวราคาทอง
Ads test
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ การเข้าชมเว็บไซต์นี้ต่อไปถือว่าท่านยอมรับคุกกี้บนเว็บไซต์และ  นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งหมดที่ระบุไว้