คิงเพาเวอร์รื้อสัญญาดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน ถก AOT ปรับลดผลตอบแทน
นิตินัย ศิริสมรรถการ
“คิง เพาเวอร์” ขอยกเลิกสัมปทานดิวตี้ฟรี 2 หมื่นล้าน “นิตินัย” ซีอีโอใหม่พร้อมยุติสัญญาในสนามบินหลักทั้ง 5 แห่ง “สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-ภูเก็ต-หาดใหญ่-เชียงใหม่” เผยขาดสภาพคล่องหนัก ผลกระทบจากนโยบายรัฐ ทั้งปิดดิวตี้ฟรีขาเข้า ลดภาษีนำเข้าไวน์ ขอคืนพื้นที่ แถมขาดมาตรการเชิงรุกในการจัดการความปลอดภัย ความเชื่อมั่นท่องเที่ยวไทยไม่มี นักท่องเที่ยวจีนตลาดหลักไม่กลับมา AOT เรียกหารือแนวทางทำธุรกิจร่วมกันต่อ นักวิเคราะห์ชี้เกมต่อรองปรับลดผลประโยชน์ บีบกำไร AOT ทรุดหนักกว่าเดิม เจอร้านค้าค้างหนี้อีก 7 พันล้าน
จากกรณีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ได้ส่งหนังสือถึงบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ทอท. หรือ AOT เรื่องขอหารือแนวทางในการพิจารณายกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรรวม 3 ฉบับ ได้แก่ สัญญาร้านค้าปลอดอากรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สัญญาร้านค้าปลอดอากรท่าอากาศยานดอนเมือง และสัญญาร้านค้าปลอดอากรท่าอากาศยานภูมิภาค (ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่) ตามที่ปรากฏในสื่อเมื่อ 13 มิถุนายน 2568
ยันขอยกเลิกหมดทั้ง 5 สนาม
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเด็นนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามาบริหารในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) แต่มองว่าวัตถุประสงค์ของการส่งหนังสือถึง AOT ในครั้งนี้ คือ การขอยกเลิกสัญญาสัมปทานทั้ง 3 สัญญา ตามที่ระบุในหนังสือที่ส่งออกไป โดย 3 สัญญาดังกล่าวครอบคุลมการดำเนินการให้บริการร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) รวม 5 ท่าอากาศยานหลักของ AOT
ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานส่วนภูมิภาค 3 แห่ง คือ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (สงขลา) และท่าอากาศยานเชียงใหม่ ไม่รวมการให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
“ที่ผ่าน ๆ มาคิง เพาเวอร์ ทำหนังสือขอให้ AOT พิจารณา เช่น ขอแบ่งจ่ายหนี้ การพักหนี้ ยืดหนี้ ฯลฯ แต่ครั้งนี้ข้อความตัวหนังสือจะเขียนอย่างไรก็แล้วแต่ ความหมายที่ชัดเจนคือ คิง เพาเวอร์ ขอหารือเพื่อยกเลิกสัญญา พร้อมระบุเหตุผลในการขอยกเลิกที่ชัดเจนไปด้วย” นายนิตินัยกล่าว
หากเจรจาได้ก็พร้อมไปต่อ
นายนิตินัยกล่าวด้วยว่า เท่าที่มีข้อมูลพบว่าที่ผ่านมา คิง เพาเวอร์ ได้รับผลกระทบหนักตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา โดยในเบื้องต้นก็มีหนังสือขอความอนุเคราะห์จาก AOT ต่อเนื่อง อาทิ ขอแบ่งการชำระหนี้ ฯลฯ ขณะที่บริษัทก็เริ่มขาดสภาพคล่อง ไม่มีกระแสเงินสดเข้ามาหมุนเวียน จึงจำเป็นต้องขอยกเลิกสัญญา
อย่างไรก็ตาม หากผลการหารืออยู่ในทิศทางที่ดีและมีการปรับเปลี่ยนสัญญาให้ คิง เพาเวอร์ สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้แบบไม่ขาดทุน บริษัทก็พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป
“การยกเลิกสัญญาเป็นสิ่งที่ 2 ฝ่ายไม่อยากให้เกิด ซึ่งคิง เพาเวอร์เองก็ไม่ได้อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง แต่ด้วยสถานการณ์ขณะนี้และเงื่อนไขที่ทำสัญญาไว้ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ และเราเองก็ไม่ได้คาดหวังการเจรจาจะทำให้เราทำธุรกิจได้และมีกำไร ขอแค่ยังสามารถไปต่อได้แบบไม่ขาดทุน และสถาบันการเงินยังปล่อยกู้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทั้ง 2 ฝ่ายไปมากกว่านี้” นายนิตินัยกล่าว
พร้อมกลับมาภายใต้บริบทปัจจุบัน
นายนิตินัยกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ธุรกิจของคิง เพาเวอร์ ในปัจจุบันไม่ได้เป็นธุรกิจขึ้น-ลงตาม Life Cycle ของธุรกิจ คือ ตกในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีแล้วจะกลับมาดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้น แต่สำหรับคิง เพาเวอร์นั้นมองว่าปัจจุบันมีปัจจัยเรื่องของการ Disruption เกิดปัจจัยใหม่ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากมาย อาทิ ผู้โดยสารไม่ได้เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์ นักท่องเที่ยวจีนไม่มา การช็อปปิ้งออนไลน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งในการบริหารหากปิดปัจจัยดิสรัปชั่นได้เร็ว ธุรกิจก็จะไปรอด
“นี่คือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่เราขอยกเลิกดิวตี้ฟรีที่สนามบิน เพราะการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมันไม่สามารถเดินต่อได้ เช่นเดียวกับดิวตี้ฟรีที่อยู่ในดาวน์ทาวน์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่เราก็มีแนวทางจัดการของเราเช่นกัน”
เมื่อถามว่าคิง เพาเวอร์ ขอยกเลิกสัญญา หาก AOT เปิดประมูลใหม่จะเข้าร่วมประมูลใหม่หรือไม่ นายนิตินัยกล่าวว่า คิง เพาเวอร์ ก็พร้อมเข้าประมูลใหม่เช่นกัน ซึ่งจะเป็นการประมูลที่อยู่บนพื้นฐานบริบทใหม่ และผลตอบแทนตามกำลังของตัวเองภายใต้สภาพแวดล้อมปัจจุบัน
ต่อรองปรับลดผลประโยชน์
นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า กรณีบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) แจ้งขอยกเลิกสัญญาร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) กับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT โดยรวมหุ้นยังติดอยู่ในสภาวะ Overhang เนื่องจากต้องรอการเจรจาระหว่าง AOT กับคิง เพาเวอร์ ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน จากเดิมที่คิง เพาเวอร์ จ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 33% ของรายได้จาก Duty Free
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการเจรจาคงไม่ถึงขั้นยกเลิกสัญญาหมดทั้ง 5 สนามบิน แต่จะเป็นการเจรจาปรับเงื่อนไขการจ่ายประโยชน์ตอบแทน
“ประเมินผลกระทบเบื้องต้นมองว่า จากเดิมที่คิง เพาเวอร์ จ่ายผลประโยชน์ขั้นต่ำ 33% ของยอดขาย ประเมินว่าอาจจะปรับลดมาจ่ายที่ระดับ 20% ของยอดขาย ซึ่งหากเป็นจริง ประเมินว่าจะกระทบต่อประมาณการกำไรของ AOT ปี 2569 ลดลง 17% ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นจากเดิมที่ทำไว้ที่ราคา 1.5 บาท/หุ้น จะเหลืออยู่ที่ 1.25 บาท/หุ้น หาก P/E อยู่ที่ 20-25 เท่า ราคาหุ้นจะอยู่ที่ 25-31 บาท อาจจะเป็นจุดที่เริ่มพิจารณาลงทุนได้”
AOT อ่วม-ร้านค้าค้างหนี้ 7 พัน ล.
นางสาวเกวลี ทองสมอางค์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า บัวหลวงยังคงมุมมองระมัดระวังต่อหุ้น AOT โดยปรับลดประมาณการกำไรต่อเนื่องเพื่อสะท้อนปัจจัยลบหลายประการ รวมถึงความเสี่ยงจากหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการยังค้างชำระค่าใช้พื้นที่ โดยยอดค้างชำระอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท ณ เดือน มี.ค. 2568 เพิ่มขึ้นจาก 5,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 ซึ่ง AOT ได้จัดชั้นบัญชีเป็นลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียน
รวมถึงปัญหาปริมาณผู้โดยสารนักท่องเที่ยวจีนที่ยังฟื้นตัวต่ำกว่าคาดการณ์ โดยจำนวนผู้โดยสารปัจจุบันยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดอยู่ราว 10% รวมถึงพฤติกรรมการจับจ่ายที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ยอดขายจริงต่ำกว่าระดับ Minimum Guarantee
ดังนั้น ผู้ประกอบการอาจขอให้พิจารณาเปลี่ยนไปใช้รูปแบบการแบ่งรายได้สำหรับการชำระเงินในอนาคตให้ AOT ซึ่ง บล.บัวหลวงได้ปรับลดประมาณการกำไรลงเพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้โดยสารและการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในรูปแบบธุรกิจสัมปทานจาก Fixed Minimum Guarantee ไปเป็นข้อตกลงแบ่งรายได้ 20% สำหรับสนามบินดอนเมืองและสนามบินภูมิภาค (ไม่รวมสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ) ภายใต้ประมาณการใหม่ บล.บัวหลวงได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2569 ของ AOT ลดลง 22% และประมาณการระยะยาวลดลง 25-30%
“สมมุติฐานว่า หากมีการทบทวนสัญญาสัมปทานหลัก ประเมินว่ารายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์และพื้นที่ปลอดภาษีที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 80-85% ของรายได้สัมปทานทั้งหมดของ AOT หากการเจรจาทบทวนสัมปทานขยายผลไปถึงสัญญาใหญ่นี้ ในอนาคตราคาหุ้น AOT อาจมีดาวน์ไซด์เพิ่มเติม จากการวิเคราะห์สถานการณ์บ่งชี้ว่า หากมีการปรับโครงสร้างสัญญาจะส่งผลให้กำไรปี 2569 ปรับลดลงอีก 16% ทำให้คาดว่ากำไรปี 2569 เหลือ 14,800 ล้านบาท และราคาเป้าหมายหุ้น AOT จะปรับลดลงเหลือ 23.0 บาท/หุ้น”
เล็งปรับขึ้นค่า PSC
ด้านนายดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์อาวุโส บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตามที่คิง เพาเวอร์ ขอยกเว้นค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ 33% ของยอดขาย และไปจ่ายที่ 20% ทางผู้บริหาร AOT ได้มีการเชิญประชุมนักวิเคราะห์โดยระบุว่า ไม่สามารถพิจารณาตามที่คิง เพาเวอร์ ขอได้ และยืนยันจะเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามสัญญาปกติ (บล.กรุงศรีคาดอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท/เดือน)
ทั้งนี้ ปัจจุบันคิง เพาเวอร์ ยังไม่ได้กลับไปจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามสัญญาที่ 25,000 ล้านบาทต่อปี หรือ 2,100 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจาก AOT มีมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่องจาก COVID-19 ให้จ่ายในรูปแบบผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อหัวผู้โดยสารแทน
นอกจากนี้ ผู้บริหาร AOT ได้ชี้แจงว่า ระบุถึงการเร่งหารายได้เพิ่มมาชดเชย เช่น การศึกษาการเรียกเก็บค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) ในเดือน ก.ย. 2568 เป็นต้น ซึ่งประเมินว่าทุก ๆ 10 บาทของค่า PSC ที่ปรับเพิ่มขึ้น จะเป็นบวกต่อรายได้ AOT ราว 600-700 ล้านบาท/ปี
AOT ชี้ไม่กระทบ- เร่งหารายได้อื่น
ด้านนางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเด็นนี้คณะกรรมการบริหาร AOT ได้หารือร่วมกันและได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าจะดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรอง พร้อมจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อวิเคราะห์รายละเอียดของสัญญาเดิม รวมถึงหาแนวทางที่เหมาะสมในการทำธุรกิจร่วมกันต่อไป โดยจะได้ข้อสรุปภายใน 60 วัน ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาต่อไป
สำหรับผลตอบแทนที่กลุ่มคิง เพาเวอร์ จ่ายนั้นในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วน 17% ของรายได้รวมของ AOT จึงไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจาก AOT ยังมีรายได้จากส่วนอื่นกว่า 80% ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจะพยายามหารือกับทางคิง เพาเวอร์ เพื่อให้ข้อสรุปโดยเร็ว
นางสาวปวีณากล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับค่าตอบแทนที่กลุ่มคิง เพาเวอร์ ค้างชำระอยู่นั้นยังไม่เกินวงเงินค้ำประกัน (Bank Guarantee) ที่วางไว้เป็นหลักประกันตามหลักเกณฑ์ในสัญญา และ AOT ยังมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงแข็งแรง
นอกจากนี้ ยังมีแผนการหารายได้เพิ่มจากแหล่งอื่น ๆ เช่น รายได้จากค่าใช้บริการระบบไฟฟ้า 400 Hz ระบบปรับอากาศ Preconditioned Air (PC Air) โครงการผู้ให้บริการลานจอด และอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง
รวมถึงแผนการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์บริเวณรอบท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ที่จะก่อให้เกิดรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Nonaeronautical Revenue) ซึ่งจะมีเริ่มเห็นความชัดเจนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 นี้เป็นต้นไป และยืนยันว่า AOT ยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับรองรับโครงการลงทุนในอนาคตและการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้
สัมปทาน 10 ปีสิ้นสุดปี’74
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสัมปทานรอบล่าสุดนั้น AOT ได้เปิดประมูลจัดหาผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และท่าอากาศยานภูมิภาคที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ทอท. (ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่) ในช่วงปี 2562
แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เปิดประมูลช่วงต้นปี 2562 รวม 3 สัญญา อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน (ระหว่าง 28 ก.ย. 2563-31 มี.ค. 2574) โดย “คิง เพาเวอร์” ชนะทั้ง 3 สัญญา รวมผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ปีแรกรวม 23,548 ล้านบาท
ประกอบด้วย 1.การให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรก 15,419 ล้านบาท 2.การให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูมิภาค (ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่) ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรก 2,331 ล้านบาท และ 3.การให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรก 5,798 ล้านบาท
ส่วนที่ 2 เปิดประมูลช่วงปลายปี 2562 คือ การคัดเลือกผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน (ระหว่าง 1 ต.ค. 2565-31 มี.ค. 2576) โดยคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี เป็นรายเดียวที่เสนอตัวเข้าประมูล ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรกกว่า 1.5 พันล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ทั้งนี้ เงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนมี 2 รูปแบบ คือ ผลตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) และจ่ายส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) อย่างต่ำ 20% ตลอดสัญญา 10 ปี โดยกำหนดว่าให้เอกชนจ่ายผลตอบแทนเป็นสัดส่วนจากเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่ง แล้วแต่ตัวเลขใดจะมากกว่ากันในปีนั้น
ขอยืดหนี้ตั้งแต่ ส.ค. 67
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า จากข้อมูลของ Creden Data ระบุว่า ผลประกอบการของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ผู้รับสัมปทานบริหารดิวตี้ฟรีมีรายได้ลดลง และประสบภาวะขาดทุนตลอด (ยกเว้นปี 2565) อย่างชัดเจนนับตั้งแต่ปี 2563 (ช่วงโควิด) และมีตัวเลขหนี้สินเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยปี 2566 มีหนี้สะสมอยู่ถึง 16,459 ล้านบาท (ดูตารางประกอบ)
และเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ทาง AOT ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้ทำหนังสือถึงบริษัทตั้งแต่ 26 สิงหาคม 2567 เรื่องขอเลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรจาก 5 สนามบิน โดยอ้างถึงเหตุผลจากสถานการณ์โควิด-19 ที่แม้สถานการณ์จะคลี่คลาย แต่ KPD ยังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง และไม่สามารถฟื้นคืนธุรกิจได้อย่างที่ประเมินไว้
ขณะที่ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องชำระให้ AOT ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ปัจจุบัน แต่ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ทาง KPD จึงขอเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567-กรกฎาคม 2568 (รวม 12 งวด) ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน เพื่อให้ KPD มีระยะเวลาเพื่อฟื้นฟูสภาพคล่องทางการเงิน รวมถึงขอเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนนับแต่งวดปลายสิงหาคม 2567 ทำให้ไม่มีภาระเพิ่มเติมระหว่างเลื่อนชำระ
โดย AOT ก็เห็นว่า KPD มีปัญหาสภาพคล่องจริงและดำเนินการดังกล่าวเป็นการแจ้งการผิดนัดชำระหนี้ตามเงื่อนไขสัญญา ซึ่งไม่เกิดความเสียหายแก่ AOT จึงเห็นชอบตามที่ KPD ร้องขอ โดยไม่ยกเว้นการเรียกเก็บค่าปรับผิดนัดชำระที่ 18%
“ทอท.พบว่าการอนุญาตให้ผู้ประกอบการปรับโครงสร้างการชำระเงินจะเป็นประโยชน์มากกว่า รวมทั้งดีกว่าการยกเลิกสัญญาและทำการประมูลใหม่ เนื่องจากอาจทำให้ ทอท.ได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าที่เคยได้รับอย่างมีนัยสำคัญ”
ที่มา : คิงเพาเวอร์รื้อสัญญาดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน ถก AOT ปรับลดผลตอบแทน