เวิลด์แบงก์หั่นจีดีพีโลกโต 2.3% ส่วนไทยเหลือ 1.8% พิษภาษีทรัมป์ป่วนการค้าขาย ชี้เศรษฐกิจอ่อนแอสุดในรอบ 17 ปี
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2025 ลงเหลือ 2.3% จากก่อนหน้านี้คาดว่าจะเติบโต 2.7% โดยชี้ว่านโยบายขึ้นภาษีศุลกากร และความไม่แน่นอนที่มีเพิ่มขึ้นกำลังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเศรษฐกิจของแทบทุกประเทศ โดยในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกของธนาคารโลกที่จัดทำปีละ 2 ครั้ง เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจลงในเกือบ 70% ของประเทศทั้งหมด รวมถึง สหรัฐ จีน และยุโรป ตลอดจน 6 ภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ ลงจากระดับที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อ 6 เดือนก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐจะรับตำแหน่ง หลังจากนั้นทรัมป์ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับการค้าโลกจากการประกาศขึ้นภาษีแบบชักเข้าชักออก ซึ่งเพิ่มขึ้นจากอัตราต่ำกว่า 3% เป็นระดับกลางถึงสูง ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ และส่งผลให้จีน มหาอำนาจคู่ปรับที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และประเทศอื่นๆ ตอบโต้กลับด้วยมาตรการทางการค้าเช่นกัน
แม้ในรายงานของธนาคารโลกจะไม่ได้คาดการณ์ถึงความถดถอย แต่ระบุว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะอ่อนแอที่สุดนับจากปี 2008 โดยคาดการณ์ว่าในปี 2027 การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีโลก จะเติบโตเฉลี่ยที่เพียง 2.5% ชะลอตัวมากที่สุดนับจากทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา
รายงานยังคาดว่าการค้าโลกในปีนี้จะขยายตัวเพียง 1.8% ลดลงจาก 3.4% ในปีที่แล้ว และคิดเป็นเพียง 1 ใน 3 ของการเติบโตเฉลี่ย 5.9% ในช่วงทศวรรษ 2000 การคาดการณ์นี้อ้างอิงจากอัตราภาษีที่มีผลบังคับใช้เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมถึงอัตราภาษี 10% ที่สหรัฐเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศส่วนใหญ่ แต่ยังไม่รวมการขึ้นภาษีเพิ่มเติมที่ทรัมป์ประกาศเมื่อเดือนเมษายน และได้ประกาศเลื่อนออกไปจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม ในระหว่างเปิดโอกาสให้เจรจา
รายงานธนาคารโลกยังระบุว่า อัตราเงินเฟ้อโลกในปีนี้คาดว่าจะสูงถึง 2.9% ยังคงสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากการขึ้นภาษีศุลกากรและตลาดแรงงานที่ตึงตัว การเพิ่มขึ้นของอุปสรรคทางการค้า จะส่งผลให้การค้าโลกหยุดชะงักในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นอย่างกว้างขวาง และเกิดความไม่แน่นอน และความปั่นป่วนในตลาดการเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่โลกจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นมีโอกาสไม่ถึง 10%
ธนาคารโลกระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกแย่ลงอย่างมากนับจากเดือนมกราคมเป็นต้นมา โดยส่วนใหญ่เกิดจากเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว ที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.2% หลังจากขยายตัว 1.7% ในปี 2024 ธนาคารโลกยังปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ลง 0.9 จุด มาอยู่ที่ 1.4% ส่วนยูโรโซนถูกปรับลดลง 0.3 จุด อยู่ที่โต 0.7% และญี่ปุ่นลดลงครึ่งจุด อยู่ที่ 0.7% ในส่วนของตลาดเกิดใหม่ และเศรษฐกิจกำลังพัฒนาคาดว่าในปีนี้จะเติบโต 3.8% จาก 4.1% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนมกราคม ส่วนประเทศยากจนนั้นสาหัสที่สุด
ขณะที่ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของ 5 ชาติในอาเซียนลง ไม่รวมสิงคโปร์ บรูไน และเมียนมา ระบุว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 1.8% ลดลง 1.1% จุดจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 2.9% กัมพูชาโต 4.0% ลดลงจาก 5.5% มาเลเซียโต 3.9% ลดลงจาก 4.5% ฟิลิปปินส์โต 5.3% ลดลงจาก 6.1% อินโดนีเซียโตที่ 4.7% ลดลงจาก 5.1% และเวียดนามโต 5.8% ลดลงจาก 6.6%
สำหรับจีน ธนาคารโลกยังคงระดับคาดการณ์ไว้ที่เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ 4.5% โดยชี้ว่าจีนยังมีพื้นที่ทางการเงินและการคลังที่จะสนับสนุน และกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจของตนเอง
ภายในปี 2027 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวของประเทศกำลังพัฒนาจะอยู่ที่ 6% ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 และประเทศเหล่านี้ ไม่รวมจีน อาจต้องใช้เวลานานถึง 2 ทศวรรษ ในการฟื้นตัวจากความสูญเสียทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษ 2020
ด้าน น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การชะลอมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐจะสิ้นสุดวันที่ 9 กรกฎาคม ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% และเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8%