Head Top
หุ้น-ทอง-เงินบาท ป่วน อิสราเอล เปิดฉากถล่มเดือด อิหร่าน
Ads test

‘หุ้น-ทอง-เงินบาท’ ป่วน อิสราเอล เปิดฉากถล่มเดือด อิหร่าน

ประเด็นสงครามในตะวันออกกลางที่ปะทุเดือดขึ้นอีกครั้ง โดยมีรายงานว่า อิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่อิหร่าน ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุนทันที โดยเฉพาะราคาทองที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรงในรอบ 5 สัปดาห์ และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 5% รวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงทันทีที่ตลาดเปิด

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า หลังมีรายงานการโจมตีกันเกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันพุ่งขึ้นทันที ซึ่งจะมีผลกระทบในเรื่องต้นทุนพลังงานที่เป็นปัจจัยทำให้เงินบาทอ่อนค่า แต่เนื่องจากราคาทองคำก็ปรับขึ้นด้วย ก็จะมีบางส่วนที่ชดเชยกันอยู่ โดยการประเมินสถานการณ์ขณะนี้ยังค่อนข้างยาก เพราะยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะไปจบตรงไหน รวมถึงต้องติดตามท่าทีของสหรัฐด้วย ซึ่งมีข่าวว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ต้องการให้อิสราเอลหยุดโจมตี

ทั้งนี้ มองแนวโน้มว่าสถานการณ์อาจจะไม่ยืดเยื้อ เพราะอิหร่านเป็นประเทศมหาอำนาจในตะวันออกกลาง หากสถานการณ์ยืดเยื้อจะรุนแรง และจะพังกันหมด

“สถานการณ์ค่าเงินบาทก็คงผันผวน หลังจากที่ก่อนนี้เงินบาทจะนิ่ง ๆ แกว่งตัวออกด้านข้างมา 2-3 สัปดาห์ แต่หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐออกมาต่ำกว่าคาด ตลาดก็มีความหวังอีกรอบว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสจะลดดอกเบี้ยในไตรมาส 3 ซึ่งเงินบาทก็แข็งค่าไปทดสอบ 32.3 บาท/ดอลลาร์ แล้วพอมีข่าวตะวันออกกลาง ก็มาอยู่ที่ 32.45 บาท/ดอลลาร์ ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่แทรกเข้ามา ขณะที่สงครามการค้าที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเดิมก็ยังอยู่ ดังนั้น ในบริบทของเศรษฐกิจไทยก็คงต้องดูต้นทุนราคาน้ำมันเป็นหลัก”

นางสาวรุ่งกล่าวว่า ในระยะนี้เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงมีเพิ่มมากขึ้น ช่วง 1-2 สัปดาห์ จึงคาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.20-33 บาท/ดอลลาร์ คือมีโอกาสจะอ่อนค่ากลับขึ้นไป แล้วแต่ว่าสถานการณ์จะไปทางไหน ส่วนกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย ช่วงนี้ดูแล้วจะค่อนข้างซึม โดยมีการซื้อขายสลับกันไประหว่างตลาดหุ้นกับตลาดพันธบัตร (บอนด์)

ขณะที่ในมุมผลกระทบต่อตลาดทุนนั้น บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) บริษัทการเงินการลงทุน ภายใต้กลุ่ม SCBX ประเมินว่า การโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่านได้สร้างความกังวลให้นักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สถานการณ์อาจยกระดับสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงในช่วงแรก

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดมีโอกาสฟื้นตัวภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า หากความกังวลของนักลงทุนเริ่มคลี่คลาย โดยเฉพาะจากสัญญาณที่สหรัฐไม่สนับสนุนการโจมตีในครั้งนี้ ทั้งนี้ หากอ้างอิงข้อมูลย้อนหลังในช่วง 85 ปีที่ผ่านมา พบว่าในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดหุ้นมักสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ภายในระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 20 วัน

อย่างไรก็ดี สินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ ได้แก่ ทองคำ และตราสารหนี้ ที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในขณะที่ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นจากความกังวลด้านอุปทานและการปิดช่องแคบ Hormuz ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำมัน 26% ของโลก อาจถูกปิดหรือตกเป็นเป้าหมาย

ขณะที่นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประเมินว่า ในมุมของตลาดทุน เมื่อเกิดเหตุการณ์ด้านสงครามขึ้น ก็จะทำให้เกิดความไม่แน่นอน และเม็ดเงินหมุนเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย จึงทำให้ตลาดทุนมีการปรับฐาน รวมถึงตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากประเด็นดังกล่าวไปด้วย

อย่างไรก็ตาม มองว่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับประเทศอื่น เนื่องจากทั่วโลกเมื่อเกิดประเด็นความไม่แน่นอนขึ้น จะทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นด้วย ซึ่งหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลกมีสัดส่วนหุ้นน้ำมันอยู่ประมาณ 3.6% ขณะที่ในตลาดหุ้นไทย มีหุ้นที่เป็นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีประมาณ 22% ดังนั้น หากราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงและต่อเนื่อง น่าจะช่วยให้หุ้นไทยมีความผันผวนน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ

“ยังคงต้องติดตามต่อไป หากสงครามเกิดรุนแรงขึ้น อาจจะมีหุ้นที่ได้รับผลกระทบได้ เช่น กลุ่มท่องเที่ยวที่ต้องระมัดระวัง”

นายภราดรกล่าวว่า แนวโน้มในสัปดาห์หน้า (16-20 มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยยังต้องติดตามหลายประเด็น ทั้งสงครามตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ซึ่งเซนติเมนต์ที่มีความร้อนแรงขึ้นอาจจะกดดันกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับไทย กัมพูชา เช่น ค้าปลีก เป็นต้น รวมถึงติดตามประเด็นการเมืองที่เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ที่มีเรื่องการปรับ ครม.

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยตอบรับประเด็นที่กดดันมาแล้วค่อนข้างมาก โดยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หุ้นไทยปรับลดลงกว่า 7% มากที่สุดในโลก ดังนั้นจึงเชื่อว่าแม้ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนอยู่ แต่การที่ตอบรับที่มากแล้ว หุ้นไทยน่าจะชะลอการปรับลดลง และอาจจะพลิกกลับขึ้นได้บ้าง โดยมองกรอบแนวรับที่ 1,100 จุด แนวต้าน 1,140 จุด

“หุ้นน้ำมันน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ SET Index ขยับขึ้นได้ โดยแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานที่ยัง Laggard เช่น PTT, BCP ที่มีโอกาสเข้า SET50 และหุ้นที่คาดว่ากำไรไตรมาส 2/68 ออกมาดี อย่าง IVL, PR9”

ในส่วนของราคาทอง “MTS GOLD” หรือห้างทองแม่ทองสุก รายงานว่า ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 46 ดอลลาร์ ทันที แตะ 3,432 ดอลลาร์ หลังจากที่อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศต่ออิหร่าน และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งผลให้เกิดความกังวลอย่างมากในตลาดและหนุนราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยให้ปรับตัวสูงขึ้น

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมาหลังสงครามปะทุ หากเกิดความรุนแรงหรือมีการขยายวงกว้างออกไป ราคาทองคำก็อาจจะขึ้นไปต่ออีกได้

“ต้องดูว่าสงครามขยายวงหรือเปล่า คือถ้ามียิงกันไปมา ไม่เหมือนรอบที่แล้วที่ยิงกันทีเดียวแล้วจบ ก็มีโอกาสที่ทองจะขึ้นต่ออีกได้ ซึ่งการลงทุนช่วงนี้สามารถเล่นเก็งกำไรขาขึ้นได้ โดยกรอบให้ที่ 3,400-3,450 ดอลลาร์ ซึ่งหากไม่มีข่าวอะไรเพิ่มเติมแล้วผ่าน 3,450 ดอลลาร์ไปได้ จะแนะนำขายมากกว่า แต่ถ้าสถานการณ์รุนแรงขึ้น แล้วราคาผ่าน 3,450 ดอลลาร์ไป ก็สามารถเข้าซื้อได้”

ที่มา : ‘หุ้น-ทอง-เงินบาท’ ป่วน อิสราเอล เปิดฉากถล่มเดือด อิหร่าน



squareADS
squareADS
ข่าวราคาทอง
Ads test
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ การเข้าชมเว็บไซต์นี้ต่อไปถือว่าท่านยอมรับคุกกี้บนเว็บไซต์และ  นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งหมดที่ระบุไว้